­

ระบบความปลอดภัยพื้นฐาน ที่ในรถยนต์ปัจจุบันควรมี

ระบบความปลอดภัยพื้นฐานในรถยนต์ปัจจุบันควรมี ข่าวสารในแวดวงเทคโนโลยี มักมีเรื่องให้เราตื่นตาตื่นใจอยู่เสมอ โดยเฉพาะนวัตกรรมยานยนต์สุดเจ๋ง ที่เรามักพบเห็นได้ในรถรุ่นใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นนวัตกรรมยานยนต์ทำให้รถเร็วแรงขึ้น สิ่งอำนวยความสะดวกที่ดีขึ้น รวมถึงนวัตกรรมความปลอดภัยที่ก้าวหน้าขึ้นอย่างเห็นได้ชัดแต่ก็อย่างว่า รถรุ่นใหม่ๆ ที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีสุดยิ่งใหญ่ มักมาพร้อมกับภาระค่าใช้จ่ายที่ใหญ่ยิ่ง อยากจับจองเป็นเจ้าของเสียทุกคันก็ดูจะเป็นไปไม่ได้ หรือจะให้วิ่งตามนวัตกรรมใหม่ๆ ทั้งหมด ก็คงไม่ไหว อย่างน้อยเรามาความเข้าใจ เกี่ยวกับระบบความปลอดภัยพื้นฐานที่รถยนต์ควรมีติดไว้ก็น่าจะเพียงพอ เมื่อถึงเวลาที่ต้องซื้อรถคู่ใจคันใหม่ จะได้มีเกณฑ์การตัดสินใจสักหน่อย ว่าควรมีระบบความปลอดภัยพื้นฐานแบบไหนบ้าง กล้องและระบบเซ็นเซอร์ด้านหลัง ยังจำการถอยรถในยุคที่ยังไม่มีกล้องมองหลังกันได้ไหม? เวลาจะถอยจอดเข้าซองสักที เรียกได้ว่าคอบิดคอเบี้ยวกันเลยทีเดียว ยิ่งบางครั้งโชคร้ายไปชนอะไรที่ไม่เห็นขึ้นมา  ถ้าไม่ได้ทำประกันชั้นหนึ่งก็ซวยไปจ้า! การมาของระบบเซ็นเซอร์และกล้องมองหลัง จะช่วยอำนวยความสะดวกได้เป็นอย่างดี  แถมยังมีประโยชน์ในด้านความปลอดภัยอีกต่างหาก ด้วยเหตุนี้  จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่รถรุ่นใหม่ๆ จำเป็นต้องมีระบบนี้ติดไว้เสมอ ระบบตรวจเช็กลมยางอัตโนมัติ ลมยางอาจดูเป็นเรื่องเล็กๆ แต่คุณรู้ไหมว่ามันส่งผลต่อสิ่งต่างๆ มากมาย  ไม่ว่าจะเป็นสภาพของรถยนต์ อายุการใช้งานของยาง ความประหยัดน้ำมัน แถมยังช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุรถยนต์ ได้อีกด้วยเรื่องของลมยางไม่ได้เล็กอย่างที่คิดเลย! แต่คนส่วนใหญ่กลับละเลยการตรวจเช็กและเติมลมยางอย่างสม่ำเสมอ การติดตั้งระบบตรวจเช็กลมยางอัตโนมัติ  จึงเป็นสิ่งที่มีประโยชน์มากเลยทีเดียว ไฟหน้าและที่ปัดน้ำฝนอัตโนมัติ ระบบเปิดไฟหน้าและสั่งการที่ปัดน้ำฝนอัตโนมัติ  อาจดูไม่ใช่สิ่งที่ชวนตื่นตาตื่นใจสักเท่าไหร่ แต่หากลองคิดดูให้ดีๆ เวลาเห็นรถยนต์ที่ไม่เปิดไฟวิ่งตอนกลางคืน  มันชวนหงุดหงิดสุดๆ เลยใช่ไหม? ก็รู้ทั้งรู้ว่ามันผิดกฎหมาย แถมยังเป็นเรื่องที่อันตรายมากๆ อีกต่างหาก  การมาของระบบที่ปัดน้ำฝนและการเปิดไฟหน้าอัตโนมัติ

By |ตุลาคม 27th, 2017|Categories: การใช้รถ|Tags: , , |ปิดความเห็น บน ระบบความปลอดภัยพื้นฐาน ที่ในรถยนต์ปัจจุบันควรมี

5 เทคนิค ตรวจสภาพรถยนต์ก่อนเที่ยววันหยุดยาว

5 เทคนิค ตรวจสภาพรถยนต์ก่อนเที่ยววันหยุดยาว ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมในปีนี้เป็นเดือนที่มีวันหยุดยาวเยอะน่าดู หลายคนอาจจะมีแพลนออกเที่ยวต่างจังหวัด แต่ถึงอย่างไรเดือนนี้ก็ยังเป็นฤดูฝน หากก่อนเดินทางวันหยุดยาวปล่อยปละละเลยคิดว่า ไปเที่ยวใกล้ๆไม่ต้องเช็คอะไรหรอก ก็อาจจะเกิดเหตุไม่คาดฝันได้ทริปเล็กๆน้อยๆสำหรับการตรวจเช็ครถยนต์ก่อนออกเที่ยวได้เพื่อความสบายใจหายห่วง เอาล่ะ มาดูกันเลยดีกว่า 5 เทคนิค ตรวจสภาพรถยนต์ก่อนเที่ยววันหยุดยาว 1.ตรวจขั้นพื้นฐาน การตรวจสอบรถยนต์ขั้นพื้นฐาน คือ การตรวจสอบรถคร่าวๆที่เราสามารถทำได้ด้วยตนเองโดยไม่ต้อง ง้ออู่ เช่น ตรวจสอบที่ปัดน้ำฝน, ตรวจสอบไฟหน้ารถ, ตรวจสอบเข็มขัดนิรภัย, เกียร์, หม้อน้ำ, แต่ถ้าหากท่านไม่มั่นใจในตัวเอง ก็อย่าลืมนำรถของท่านไปเช็คที่ศูนย์รถได้ 2.แบตเตอรี่อ่อนหรือไม่ ตรวจดูว่า แบตเตอรี่อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานหรือไม่ ถึงเวลาเปลี่ยนแบตแล้วหรือยัง? มีรอยรั่วหรือแตกร้าวหรือไม่ การตรวจสอบแบตเตอร์รี่เป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะถ้าหากขับๆอยู่รถดับ หรือสตาร์ทไม่ติดเพราะแบตมีปัญหาอาจจะทำให้เราเที่ยวไม่สนุกหรือเลวร้ายที่สุดคือทริปล่มก็เป็นได้ 3.ยางรถยนต์ก็สำคัญนะ ในฤดูฝนแบบนี้ การตรวจเช็คสภาพยางรถยนต์เป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะถ้าหากดอกยางตื้นมากแล้ว การยึดเกาะถนนก็ทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร ยิ่งเจอถนนเปียกๆก็ยิ่งแล้วใหญ่เผลอๆดีไม่ดีอาจจะเกิดเหตุสลดได้ เพราะฉะนั้น การตรวจดอกยางว่าลึกพอหรือไม่เป็นสิ่งสำคํญและจำเป็นมาก อีกหนึ่งสิ่งที่จำเป็นไม่แพ้กัน คือ การควรตรวจเช็คความดันลมยางให้ระดับความดันลมยาง ใกล้เคียงกับที่โรงงานผู้ผลิตกำหนด 4.ผ้าเบรก เมื่อยางรถพร้อมแล้ว แต่ถ้าผ้าเบรกไม่พร้อมก็คงจะไม่ดี การตรวจเช็คผ้าเบรกสามารถทำได้ง่ายๆ โดยการดูความหนาของผ้าเบรกด้วยตาเปล่า ผ้าเบรกที่ดีควรมีความหนาไม่น้อยกว่า 4 มิลลิเมตร

By |ตุลาคม 17th, 2017|Categories: การดูแลรถยนต์|Tags: , , |ปิดความเห็น บน 5 เทคนิค ตรวจสภาพรถยนต์ก่อนเที่ยววันหยุดยาว

สาเหตุอะไรบ้างที่ทำให้รถสตาร์ทไม่ติด

สาเหตุอะไรบ้างที่ทำให้รถสตาร์ทไม่ติด สาเหตุที่ทำให้รถยนต์ของเราเกิดอาการงอแง รถสตาร์ทไม่ติดหลายคนอาจจะคิดว่ามาจาก อาการแบตเตอรี่รถยนต์เสื่อม แต่ในความเป็นจริงแล้วอาการรถยนต์สตาร์ทไม่ติดนั้นมีสาเหตุและปัจจัยอื่นๆมากกว่านั้นค่ะ เช่น 1.แบตเตอรี่เสื่อม หาก แบตเตอรี่รถยนต์ของคุณมีการใช้งานมามากกว่า 2 ปี ก็เป็นไปได้ว่าแบตเตอรี่เสื่อมคือสาเหตุหลักที่ทำให้รถยนต์ของคุณสตาร์ทไม่ติด เนื่องจากแบตเตอรี่ที่อายุการใช้งานมานานย่อมเสื่อมไปตามกาลเวลา เนื่องจากตัวแบตเตอรี่เก็บประจุไฟฟ้าได้ในระยะเวลาสั้นๆ และแบตหมดไวขึ้น ซึ่งอาการเหล่านี้มักจะพบได้ในกรณีที่ รถสตาร์ทติดยากหรือสตาร์ทไม่ติดในตอนเช้า หลายคนอาจจะเจออาการรถสตาร์ทไม่ติดในตอนเช้า หรือบางครั้งสตาร์ทติดในตอนเช้า แต่เมื่อ จอดรถระหว่างวันกลับมีอาการสตาร์ทติดยาก เนื่องจากอาการเสื่อมของแบตเตอรี่มีหลายระดับไม่เท่ากัน ทำให้ในบางกรณีที่จอดรถทิ้งไว้เกิน 8 ชม. รถยนต์ก็มีอาการงอแงสตาร์ทไม่ติดหรือสตาร์ทติดยาก หรือในบางครั้งแค่จอดรถดับเครื่องไว้แค่ 2-3 ชม.ก็สตาร์ทรถไม่ติดเลยก็มีค่ะ หากคุณพบเจออาการเหล่านี้ เราแนะนำให้คุณลองขอพ่วงแบตเตอรี่จากรถยนต์คันอื่น หากพ่วงแล้วรถของคุณสตาร์ทติดง่ายขึ้น หรือสตาร์ทติดในทันที เราแนะนำให้เปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่ได้เลยค่ะ แต่หากพ่วงแบตหรือเปลี่ยนแบตใหม่แล้วอาการรถสตาร์ทติดยากยังไม่หายไป เราแนะนำให้เช็คไดชาร์ทเพิ่มเติมค่ะ 2.ไดชาร์ทเสื่อม หากคุณดำเนินการเปลี่ยนแบตเตอรี่รถยนต์ใหม่แล้วแต่รถของคุณยังมีอาการสตาร์ทติดยาก หรือยังมีอาการสตาร์ทไม่ติดอยู่ก็ชัดเลยว่าไดชาร์ทของคุณอาจจะมีปัญหา หรือหมดอายุการใช้งานพอดี และการที่ไดชาร์ทเสื่อมก็ส่งผลให้รถยนต์สตาร์ทไม่ติดได้เช่นกัน วิธีเช็คไดชาร์ทเสื่อมก็ไม่ยากค่ะ เราแนะนำให้คุณลองสตาร์ทรถทิ้งไว้ซักครู่ จากนั้นให้ถอดขั้วแบตเตอรี่ออกหนึ่งข้าง หากรถของคุณมีอาการไฟตก รถกระตุก หรือรถดับ แสดงว่าไดชาร์ทรถยนต์ของคุณเสื่อมอย่างแน่นอนแล้วค่ะ 3.มอเตอร์สตาร์ทมีปัญหา หากรถยนต์ของคุณเกิดอาการดับสนิท สตาร์ทไม่ติดเลย แม้ว่าจะลองพ่วงแบตเตอรี่กับรถยนต์คันอื่นหรือเปลี่ยนแบตแล้วอาการสตาร์ทไม่ติดก็ไม่หาย เราแนะนำให้คุณลองเช็คที่แผงหน้าปัดไฟดูก่อน หากหน้าปัดไฟติด แต่สตาร์ทรถไม่ได้หรือมีเสียงแชะๆ

By |ตุลาคม 7th, 2017|Categories: การดูแลรถยนต์|Tags: , , |ปิดความเห็น บน สาเหตุอะไรบ้างที่ทำให้รถสตาร์ทไม่ติด