­

วิธีการง่ายๆ ที่ช่วยให้การขับรถประหยัดน้ำมันยิ่งขึ้น

วิธีการง่ายๆ ที่ช่วยให้การขับรถประหยัดน้ำมันยิ่งขึ้น เมื่อเราตัดสินใจซื้อรถยนต์สักคันไว้ใช้งาน ขับรถประหยัดน้ำมันเรื่องที่ทำให้ทุกคนต้องหนักใจคงหนีไม่พ้นเรื่องของค่าใช้จ่ายอีกมากมายที่จะตามมา โดยเฉพาะเรื่องของ “ค่าน้ำมันที่สุดแสนจะแพงและคาดเดาได้ยาก” บรรดาคนใช้รถหลายคนจึงเสาะหาวิธีการขับรถประหยัดน้ำมันแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการติดแก๊สรถยนต์ การหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้า รถยนต์ไฮบริด หรือรถประหยัดพลังงานรูปแบบต่างๆ ที่จะช่วยให้คุณประหยัดค่าน้ำมันลงได้ ขับรถอย่างนิ่มนวล การขับขี่ที่ร้อนแรงแบบหนังแอคชั่น ที่มักออกตัวพุ่งแรง ต้องแซงทางโค้ง เบรกตัวโก่งเสียงดัง พอเถอะเพราะนอกจากจะทำให้คุณสิ้นเปลืองน้ำมันแล้ว ยังอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนได้อีกด้วย ต้องควบคุมความเร็ว การขับรถด้วยความเร็วต้องแลกมาด้วยการทำงานอย่างหนักของเครื่องยนต์ รวมถึงอัตราการเผาผลาญพลังงานที่มากขึ้น หากคุณทำการลดความเร็วจาก 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ให้เหลือ 90 กิโลเมตร/ชั่วโมง อาจช่วยให้คุณประหยัดน้ำมันได้ 10-15 เปอร์เซ็นต์ รวมถึงการใช้ความเร็วคงที่ก็ช่วยให้การขับรถประหยัดน้ำมันได้เช่นกัน ไม่ติดเครื่องทิ้งไว้ การติดเครื่องยนต์ทิ้งไว้เป็นเวลานาน โดยที่ไม่มีการใช้งาน ถือเป็นการปล่อยไอเสีย และสิ้นเปลืองน้ำมันโดยใช่เหตุ เมื่อถึงคราวที่ต้องนั่งอยู่ในรถเป็นเวลานาน ลองเปลี่ยนบรรยากาศมาเปิดหน้าต่างพร้อมเปิดเพลงฟัง ก็ถือเป็นทางเลือกที่ดีไม่น้อย ไม่บรรทุกของหนักเกินไป การลดจำนวนของไม่จำเป็นที่เก็บไว้ในท้ายรถหรือเบาะหลัง หรือการสั่งคุณภรรยาคนสวยให้ลดน้ำหนัก ก็ถือเป็นการช่วยให้รถประหยัดน้ำมันได้เป็นอย่างดี เพราะเมื่อรถมีน้ำหนักเบาขึ้นเท่าไหร่ เครื่องยนต์ก็จะแบกรับภาระน้อยลงไปเท่านั้นแบกสัมภาระบนรถ หลีกเลี่ยงการต้านลม การติดกล่องขนาดใหญ่หรือการขนสัมภาระมากมายไว้นอกตัวรถ จะเป็นการเพิ่มจุดต้านลมให้มากขึ้น ส่งผลให้รถวิ่งได้ช้าลงและทำให้เปลืองน้ำมันยิ่งขึ้นอีกด้วย หากจำเป็นต้องขนสัมภาระจริงๆ ควรเลือกเก็บไว้ในตัวรถหรือติดไว้ที่ท้ายรถแทนจะดีกว่า ใช้ลมยางให้เหมาะสม เราควรเลือกใช้ลมยางให้เหมาะสมกับการใช้งาน ไม่ควรให้แข็งเกินไปหรือนิ่มเกินไป

By |พฤศจิกายน 7th, 2017|Categories: การดูแลรถยนต์|Tags: , |ปิดความเห็น บน วิธีการง่ายๆ ที่ช่วยให้การขับรถประหยัดน้ำมันยิ่งขึ้น

5 เทคนิค ตรวจสภาพรถยนต์ก่อนเที่ยววันหยุดยาว

5 เทคนิค ตรวจสภาพรถยนต์ก่อนเที่ยววันหยุดยาว ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมในปีนี้เป็นเดือนที่มีวันหยุดยาวเยอะน่าดู หลายคนอาจจะมีแพลนออกเที่ยวต่างจังหวัด แต่ถึงอย่างไรเดือนนี้ก็ยังเป็นฤดูฝน หากก่อนเดินทางวันหยุดยาวปล่อยปละละเลยคิดว่า ไปเที่ยวใกล้ๆไม่ต้องเช็คอะไรหรอก ก็อาจจะเกิดเหตุไม่คาดฝันได้ทริปเล็กๆน้อยๆสำหรับการตรวจเช็ครถยนต์ก่อนออกเที่ยวได้เพื่อความสบายใจหายห่วง เอาล่ะ มาดูกันเลยดีกว่า 5 เทคนิค ตรวจสภาพรถยนต์ก่อนเที่ยววันหยุดยาว 1.ตรวจขั้นพื้นฐาน การตรวจสอบรถยนต์ขั้นพื้นฐาน คือ การตรวจสอบรถคร่าวๆที่เราสามารถทำได้ด้วยตนเองโดยไม่ต้อง ง้ออู่ เช่น ตรวจสอบที่ปัดน้ำฝน, ตรวจสอบไฟหน้ารถ, ตรวจสอบเข็มขัดนิรภัย, เกียร์, หม้อน้ำ, แต่ถ้าหากท่านไม่มั่นใจในตัวเอง ก็อย่าลืมนำรถของท่านไปเช็คที่ศูนย์รถได้ 2.แบตเตอรี่อ่อนหรือไม่ ตรวจดูว่า แบตเตอรี่อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานหรือไม่ ถึงเวลาเปลี่ยนแบตแล้วหรือยัง? มีรอยรั่วหรือแตกร้าวหรือไม่ การตรวจสอบแบตเตอร์รี่เป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะถ้าหากขับๆอยู่รถดับ หรือสตาร์ทไม่ติดเพราะแบตมีปัญหาอาจจะทำให้เราเที่ยวไม่สนุกหรือเลวร้ายที่สุดคือทริปล่มก็เป็นได้ 3.ยางรถยนต์ก็สำคัญนะ ในฤดูฝนแบบนี้ การตรวจเช็คสภาพยางรถยนต์เป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะถ้าหากดอกยางตื้นมากแล้ว การยึดเกาะถนนก็ทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร ยิ่งเจอถนนเปียกๆก็ยิ่งแล้วใหญ่เผลอๆดีไม่ดีอาจจะเกิดเหตุสลดได้ เพราะฉะนั้น การตรวจดอกยางว่าลึกพอหรือไม่เป็นสิ่งสำคํญและจำเป็นมาก อีกหนึ่งสิ่งที่จำเป็นไม่แพ้กัน คือ การควรตรวจเช็คความดันลมยางให้ระดับความดันลมยาง ใกล้เคียงกับที่โรงงานผู้ผลิตกำหนด 4.ผ้าเบรก เมื่อยางรถพร้อมแล้ว แต่ถ้าผ้าเบรกไม่พร้อมก็คงจะไม่ดี การตรวจเช็คผ้าเบรกสามารถทำได้ง่ายๆ โดยการดูความหนาของผ้าเบรกด้วยตาเปล่า ผ้าเบรกที่ดีควรมีความหนาไม่น้อยกว่า 4 มิลลิเมตร

By |ตุลาคม 17th, 2017|Categories: การดูแลรถยนต์|Tags: , , |ปิดความเห็น บน 5 เทคนิค ตรวจสภาพรถยนต์ก่อนเที่ยววันหยุดยาว

สาเหตุอะไรบ้างที่ทำให้รถสตาร์ทไม่ติด

สาเหตุอะไรบ้างที่ทำให้รถสตาร์ทไม่ติด สาเหตุที่ทำให้รถยนต์ของเราเกิดอาการงอแง รถสตาร์ทไม่ติดหลายคนอาจจะคิดว่ามาจาก อาการแบตเตอรี่รถยนต์เสื่อม แต่ในความเป็นจริงแล้วอาการรถยนต์สตาร์ทไม่ติดนั้นมีสาเหตุและปัจจัยอื่นๆมากกว่านั้นค่ะ เช่น 1.แบตเตอรี่เสื่อม หาก แบตเตอรี่รถยนต์ของคุณมีการใช้งานมามากกว่า 2 ปี ก็เป็นไปได้ว่าแบตเตอรี่เสื่อมคือสาเหตุหลักที่ทำให้รถยนต์ของคุณสตาร์ทไม่ติด เนื่องจากแบตเตอรี่ที่อายุการใช้งานมานานย่อมเสื่อมไปตามกาลเวลา เนื่องจากตัวแบตเตอรี่เก็บประจุไฟฟ้าได้ในระยะเวลาสั้นๆ และแบตหมดไวขึ้น ซึ่งอาการเหล่านี้มักจะพบได้ในกรณีที่ รถสตาร์ทติดยากหรือสตาร์ทไม่ติดในตอนเช้า หลายคนอาจจะเจออาการรถสตาร์ทไม่ติดในตอนเช้า หรือบางครั้งสตาร์ทติดในตอนเช้า แต่เมื่อ จอดรถระหว่างวันกลับมีอาการสตาร์ทติดยาก เนื่องจากอาการเสื่อมของแบตเตอรี่มีหลายระดับไม่เท่ากัน ทำให้ในบางกรณีที่จอดรถทิ้งไว้เกิน 8 ชม. รถยนต์ก็มีอาการงอแงสตาร์ทไม่ติดหรือสตาร์ทติดยาก หรือในบางครั้งแค่จอดรถดับเครื่องไว้แค่ 2-3 ชม.ก็สตาร์ทรถไม่ติดเลยก็มีค่ะ หากคุณพบเจออาการเหล่านี้ เราแนะนำให้คุณลองขอพ่วงแบตเตอรี่จากรถยนต์คันอื่น หากพ่วงแล้วรถของคุณสตาร์ทติดง่ายขึ้น หรือสตาร์ทติดในทันที เราแนะนำให้เปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่ได้เลยค่ะ แต่หากพ่วงแบตหรือเปลี่ยนแบตใหม่แล้วอาการรถสตาร์ทติดยากยังไม่หายไป เราแนะนำให้เช็คไดชาร์ทเพิ่มเติมค่ะ 2.ไดชาร์ทเสื่อม หากคุณดำเนินการเปลี่ยนแบตเตอรี่รถยนต์ใหม่แล้วแต่รถของคุณยังมีอาการสตาร์ทติดยาก หรือยังมีอาการสตาร์ทไม่ติดอยู่ก็ชัดเลยว่าไดชาร์ทของคุณอาจจะมีปัญหา หรือหมดอายุการใช้งานพอดี และการที่ไดชาร์ทเสื่อมก็ส่งผลให้รถยนต์สตาร์ทไม่ติดได้เช่นกัน วิธีเช็คไดชาร์ทเสื่อมก็ไม่ยากค่ะ เราแนะนำให้คุณลองสตาร์ทรถทิ้งไว้ซักครู่ จากนั้นให้ถอดขั้วแบตเตอรี่ออกหนึ่งข้าง หากรถของคุณมีอาการไฟตก รถกระตุก หรือรถดับ แสดงว่าไดชาร์ทรถยนต์ของคุณเสื่อมอย่างแน่นอนแล้วค่ะ 3.มอเตอร์สตาร์ทมีปัญหา หากรถยนต์ของคุณเกิดอาการดับสนิท สตาร์ทไม่ติดเลย แม้ว่าจะลองพ่วงแบตเตอรี่กับรถยนต์คันอื่นหรือเปลี่ยนแบตแล้วอาการสตาร์ทไม่ติดก็ไม่หาย เราแนะนำให้คุณลองเช็คที่แผงหน้าปัดไฟดูก่อน หากหน้าปัดไฟติด แต่สตาร์ทรถไม่ได้หรือมีเสียงแชะๆ

By |ตุลาคม 7th, 2017|Categories: การดูแลรถยนต์|Tags: , , |ปิดความเห็น บน สาเหตุอะไรบ้างที่ทำให้รถสตาร์ทไม่ติด

วิธีขับรถลุยน้ำท่วม และการดูแลรักษา

วิธีขับรถลุยน้ำท่วม และการดูแลรักษา พวกรถเครื่องยนต์ดีเซล นี่ทนทานสามารถขับรถลุยน้ำได้ แต่ถ้าวันใดน้ำเกิดเข้าไปในห้องเครื่องการแก้ไขจะยากมากอาจต้องเปลี่ยนเครื่องกันเลยที่เดียว ?เราจะมาพูดถึงเครื่องยนต์เบนซินเป็นหลักละกันนะ 1.ก่อนถึงจุดน้ำท่วมต้องลดความเร็วลง เพราะหากขับรถลุยน้ำ มีความเร็วผ่านบริเวณน้ำขัง รถจะเบาและอาจเสียการทรงตัวได้อันตราย จะคุมรถไม่อยู่ โดยอย่าให้ความเร็วมากกว่า60-80 กม.ต่อ ชม. 2.แล้วจะรู้ได้ไงว่าระดับน้ำขนาดไหนที่จะขับผ่านได้ ?ถ้าเป็นรถเก๋งก็ดูประมาณไม่เกิน 30 ซ.ม.ก็ประมาณครึ่งล้อ หากยังขืนลุยต่อโอกาสเครื่องดับก็มี 3.ถ้าจำเป็นต้องลุยกันจริงๆ (ผมก็เลือกข้อนี้นะ 555) สำหรับรถเก๋ง อันดับแรกให้ปิดระบบเครื่องปรับอากาศในรถ พร้อมเปิดกระจกระบายอากาศ ?ที่ให้ปิดระบบแอร์เพราะใบพัดอาจพัดน้ำเข้าเครื่องได้ หรือเข้าระบบไฟฟ้าได้ 4.ขณะขับลุยน้ำให้ใช้เกียร์ต่ำ คือเกียร์ 1-2 ?และรักษาอัตราเร่งไว้ให้ได้ประมาณ 1500-2000 รอบ ต่ำกว่านี้เครื่องอาจดับ สูงกว่านี้อาจจะดูดอากาศและน้ำเข้าเครื่องได้อีก ? ถ้าดับกลางน้ำท่วมนี่เซ็งแย่เลยนะ 5.ขณะขับลุยน้ำให้รักษาระยะห่างคันหน้าให้มาก เพราะระบบเบรกของท่านแช่น้ำอยู่ประสิทธิภาพต่ำลงเยอะ และถ้าพ้นน้ำแล้วก็ให้ขับช้าๆ และเบรกเป็นช่วงๆ เพื่อให้ผ้าเบรกแห้ง ถ้าดิสเบรค จะแห้งเร็ว แต่ถ้าดรัมเบรคจะแห้งช้ากว่า ระวังข้อนี้ให้ดีนะ 6.และสุดท้าย เกิดเผอิญเครื่องดับกลางน้ำ(จนได้) ให้หาคนช่วยย้ายรถไปตำแหน่งที่น้ำไม่ท่วม และอย่าทะลึ่งสตาร์ทรถ เพราะยิ่งสตาร์ท น้ำยิ่งเข้าระบบเครื่องยนต์จะพังหนักไปกันใหญ่ และฝากสำหรับรถที่อาจเสี่ยงต่อการถูกน้ำท่วม หากรู้ตัวให้รีบถอดขั้วแบตเตอรี่รถยนต์ออกขั้วใดขั้วหนึ่ง หรือทั้งสองขั้ว ทำให้ระบบไฟฟ้าไม่ทำงานซะ

By |กรกฎาคม 11th, 2017|Categories: การดูแลรถยนต์|Tags: , |ปิดความเห็น บน วิธีขับรถลุยน้ำท่วม และการดูแลรักษา

7วิธียืดอายุของยางรถยนต์

7วิธียืดอายุของยางรถยนต์ 7วิธียืดอายุของยางรถยนต์ ยางรถยนต์ เมื่อถูกใช้งานก็ย่อมมีการสึกหรอไปตามสภาพกันอยู่แล้วตามปกติ รถเช่าขอนำวิธีการดูแลรักษาที่ถูกต้องมาฝากกันนะคะ ซึ่งทางรถเช่าคิดว่าจะสามารถช่วยให้การใช้ยางรถยนต์เป็นไปอย่างเต็มประสิทธิภาพและยืดอายุการใช้งานได้อย่างแน่นอน แม้ว่าผู้ผลิตจะผลิต ยางรถยนต์ออกมาให้อย่างมีคุณภาพดีที่สุดขนาดไหนก็ตาม หากใช้ยางรถยนต์ไม่ถูกต้อง จะทำให้ได้รับประสิทธิภาพยางรถยนต์ลดลงและยังทำให้ยางรถยนต์เสียหายก่อนกำหนด ดังนั้นยางรถยนต์จะให้ประโยชน์ได้คุ้มค่าทุกด้านอย่างเต็มที่ขึ้นอยู่กับการใช้ยางรถยนต์ที่ถูกต้อง การใช้ยางรถยนต์ที่ถูกต้องขอแนะนำดังนี้ เติมลมยางให้อยู่ในอัตราเหมาะสม การเติมลมยางรถยนต์ให้ได้ตามอัตราที่เขียนในคู่มือรถยนต์ที่ได้กำหนดไว้เป็นอัตราที่ดีที่สุด เหมาะสมสำหรับรถแต่ละชนิด แต่หากคุณไม่ได้ใช้ยางรถยนต์ขนาดเดียวกันกับยางที่ติดรถมา ควรขอคำแนะนำเกี่ยวกับอัตราสูบลมยางที่เหมาะสมจากผู้ผลิตยางหรือร้านจำหน่ายยางรถยนต์ที่ได้มาตรฐานโดยตรง ในส่วนของ ยางอะไหล่ ควรเติมลมไว้ให้มากกว่ามาตราฐาน 3 - 4 ปอนด์ และเมื่อนำมาใช้งานก็ปล่อยให้เป็นความดันปรกติ ควรตรวจเช็คลมยางสม่ำเสมอ ควรตรวจเช็คลมยางประมาณอาทิตย์ละครั้ง หรือทุกครั้งก่อนเดินทางในขณะที่ยางรถยนต์ยังเย็นอยู่ ควรเมื่อใช้รถไปแล้วหรือตัวยางรถมีความร้อน ค่าความดันภายในยางจะสูงขึ้นและไม่ได้เป็นค่าที่ใช้วัดไม่ควรใช้วิธีการที่สังเกตด้วยตาเปล่าว่า ลมยางรถยนต์อ่อนเกินไปหรือยัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากยางที่คุณใช้เป็นยางเรเดียล ควรตรวจเช็คลมโดยให้เกจ์วัดลมที่ได้มาตราฐาน สลับยางรถยนต์ เพื่อให้ยางรถยนต์ทุกเส้นที่ใช้งานมีการสึกอย่างเท่าเทียมกัน ควรศึกษาดูคู่มือการใช้งานรถเกี่ยวกับคำแนะนำในการสลับยางรถยนต์อย่างละเอียด ควรจะสลับยางรถยนต์ในทันทีที่มีการใช้รถครบ 10,000 กิโลเมตรแรก ข้อควรระวัง ลมยางล้อหน้าและล้อหลังต่างกัน ดังนั้นเมื่อสลับยางรถยนต์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ควรปรับให้อยู่ในระดับความดันลมของยางรถยนต์ล้อหน้า และล้อหลังให้ถูกต้อง ต้องมีการถ่วงล้อ หากเกิดการกระจายน้ำหนักไม่ถูกต้องของยางรถยนต์ จะทำให้เกิดอาการสั่นเกิดขึ้นขณะที่รถวิ่ง ทำให้มีผลเสียต่ออายุการใช้งานของยางรถยนต์อย่างมาก รวมถึงระบบช่วงล่างของรถ ตลอดจนความสะดวกสบายในการขับขี่ ปรับตั้งศูนย์ล้อ รถที่มีปัญหาศูนย์ล้อที่ไม่ตรง เช็กแบบง่าย ๆ คือเมื่อรถวิ่งทางตรงสามรถทดลองปล่อยพวงมาลัย ดูถ้ารถเกิดวิ่งเบี่ยงเบนขึ้นมาแปลว่าศูนย์ล้อไม่ตรง

By |มิถุนายน 15th, 2017|Categories: การดูแลรถยนต์|Tags: , |ปิดความเห็น บน 7วิธียืดอายุของยางรถยนต์